Thursday, June 05, 2008

บทความนี้ เขียนในวันที่ 4 มิถุนายน 2551 เป็นวันหนึ่งที่รู้สึกเหมือนเป็นวันที่รอที่จะได้เขียนสิ่งต่อไปนี้ ความรู้สึกเหมือนในเพลง Blackbird ของสี่เต่าทอง The Beatles (1968) โดยเฉพาะท่อนที่ว่า “All your life, you were only waiting for this moment to arise”

หลังจากไปวิ่งที่ มธ. ท่าพระจันทร์ (ไม่บอกก็คงพอจะเดาได้ว่าเป็นคนชอบวิ่ง และเรียกได้ว่า”บ้าวิ่ง” เป็นพักๆ) ได้เดินเข้าร้านหนังสือและหยิบหนังสือของวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ปกหลัง เขียนว่า “ผมอยากช่วยประเทศชาติ แต่ไม่ได้บนพื้นฐานว่าสังคมต้องการผมหรือไม่ แต่บนพื้นฐานว่าผมต้องการที่จะช่วย” อ่านประโยคนี้บวกกับความคิดที่วนอยู่ในหัวสมองนับตั้งแต่อ่านบทความของผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่ง ก็มาถึงเรื่องที่จะกล่าวต่อไป อาจจะเป็นการเล่าชีวิตตัวเองมากไปสักหน่อย แต่ก็คิดว่าเกี่ยวโยงต่อเนื่องเป็นลำดับ

และในวันนี้ ได้รับ e-mail จากเพื่อนเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ รุ่น 31 เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีที่รู้จักกัน ก็นึกได้ว่า นี่เราเป็นนักเรียนเศรษฐศาสตร์มา 10 ปีแล้ว ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น หากมีคนถาม (หรือบางทีเขาไม่ได้ถาม แต่ขอเล่าเอง) ว่าทำไมถึงเลือกเรียน ศศ. คำตอบสั้น ง่าย และคิดว่าเท่ห์มากเวลาบอกใครไป ก็คือ เรียน ศศ. เพราะอยากเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้รัฐมนตรีคลัง full stop (คิดว่าเท่ห์สุดๆ ) หากจะขยายความต่อก็เป็นได้ว่า อยากใช้ความรู้ ความสามารถ มาทำนโยบายที่ส่งผลต่อ จีดีพี การจ้างงาน อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ การกระจายรายได้ ลดปัญหาความยากจน ดูแลความกินดีอยู่ดีของคนในสังคม (ก็ขนาดสัญลักษณ์คณะ คือ ฟันเฟือง คันไถ และรวงข้าว แสดงถึงปัจจัยการผลิต ผลิตมากหรือสินค้าเป็นที่ต้องการมาก ก็บังเกิดความกินดีอยู่ดี แต่ยุคสมัยนี้ จะกินดีอยู่ดีได้คงต้องมีบ่อน้ำมัน เพิ่มมาอีกหนึ่ง) ต่างๆ นาๆ ศัพท์แสงเหล่านี้ ได้ยินกระแทกหูอยู่ทุกวัน เรียน ศศ. ก็จะทำให้เรารู้เรื่องเหล่านี้อย่างลึกซึ้งเพียงพอ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ แต่เรียนไปเรียนมาก็ไม่ได้คิดอะไรมากสักเท่าไหร่ คณิตศาสตร์ในสมการยุ่งๆ ตัวแปรอ่านไม่ค่อยจะออกเต็มไปหมด ก็ไม่เลิศหรู รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง วิชาการก็ผ่านไปพร้อมกับประเมินแล้วว่าเก้าอี้ที่ปรึกษา รมว. น่าจะเป็นของเพื่อน 20 คนแรกของชั้นปี แค่เราก็เป็นคนที่ 40-50 เอง (ไม่ดีมาก แต่ไม่ขี้เหร่ก็เอาวะ – เป็น mezzanine tranche ก็ยังดีกว่า equity tranche นิดนึง)

เลยหันจะมาเอาดีเป็นนักพัฒนาแบบ NGO (inter ได้ก็ยิ่งดี เงินเยอะ ของ่าย จ่ายคล่อง) เพราะกิจกรรมจริงจังอย่างเดียวระหว่างเรียน คือ การทำค่ายอาสาพัฒนาชนบท ค่ายกลางปี ค่ายปลายปี ออกมันทุกปี ขึ้นต้นว่า ค่ายอาสาพัฒนาฯ ก็ดูมีความเสียสละ และมุ่งมาดปรารถนาจะช่วยเหลือสังคมที่ขาดแคลน โรงเรียนที่ขาดแคลน สาธารณูปโภคที่ขาดแคลน ไม่ว่าจะอยู่ดอย อยู่เขา พื้นราบ หรือในเขตพื้นที่ป่าอุทยาน ก็ไปหมดทุกที่ เวลาไปค่าย สิ่งที่ไปทำก็จะเป็นอะไรที่เราไปถามเขาว่าเขาขาดแคลนอะไร ด้วยงบประมาณที่ทางมหาวิทยาลัยตัดมาให้ น้ำพักน้ำแรงของชาวค่ายที่ไปขอสปอนเซอร์ รุ่นพี่เก่าที่ให้ความช่วยเหลือจิปาถะ หน่วยงานราชการ และรถทหารที่ขนของขนคนเข้าพื้นที่ จากนั้น 2 สัปดาห์ผ่านไป เราก็จะได้ศาลาการเปรียญ อาคารเรียน โรงอาหาร สะพานข้ามห้วย (เล็กๆ) ระบบประปา ฯลฯ แม้เมื่อเวลาผ่านไปตอนกลับไปเยี่ยมค่าย สิ่งเหล่านั้น (ที่ลงแรงสร้างไป อาจถึงต้องมี OT อยู่กัน 3-4 คืนเพราะต้องเร่งให้เสร็จทันกำหนด) จะได้กลายเป็นที่ให้วัว/ ควาย ยืนเล็มหญ้าไปพลาง หลบแดดไปพลางก็ตาม

เพราะค่ายนิสิตนักศึกษาปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าได้ต่างไปจากอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน ที่ว่า การทำค่ายปัจจุบันนี้ ความจริงคือ “เราไปให้อะไรเขาได้ไม่มากเท่าไหร่หรอก แต่เราไปได้อะไรจากเขามามากกว่า” ที่ปราชญ์เดินดิน ล้อม เพ็งแก้ว พูดว่า “อยากได้ความรู้ เข้าหาชาวบ้าน อยากได้ปริญญา เข้ามหาวิทยาลัย” โชคดีตรงที่ได้มา 2 อย่างตามสมควร จะว่าไปคำว่า เข้าหาชาวบ้าน มันมีความต่างบางประการ คือ เราเข้าหาชาวบ้าน เพราะเราอยากได้ความรู้ โดยเฉพาะที่หาไม่ได้จากตำรา ส่วนผู้แทนฯ เข้าหาชาวบ้าน เพราะอยากได้เสียงยามฤดูเลือกตั้งมาถึง

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญของการทำค่าย คือการที่คนวัยหนุ่มสาวมีความคิดที่อยากจะพัฒนา อยากทำสิ่งดีและเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น เนื่องจากเป็นคนคิดไม่เก่ง จำก็ไม่ค่อยเก่ง แต่ขอจำคติสอนใจนี้ ของ อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ที่ว่า “คนเราจะเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ ต้องระลึกเสมอถึงคุณธรรม 3 ข้อ คือ ความจริง ความงาม และความดี กล่าวโดยย่อ
ความจริง หมายถึง สัจธรรม และหลักวิชา
ความงาม หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์มีวัฒนธรรม และความเพลิดเพลินเป็นการอดิเรก รวมทั้งการกีฬาประเภทต่างๆ
ความดี หมายถึง การไม่เบียดเบียน ประทุษร้ายต่อกัน ความสัตย์สุจริต และบำเพ็ญตนต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”

ขณะเดียวกัน เพื่อนบางคนมีความใฝ่ฝันที่จะใช้ความรู้ ความสามารถ ทั้งกำลังแรง กำลังเงิน เพื่อเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตของผู้คนในสังคมด้อยโอกาสดีขึ้นหากเขาต้องการ

หากย้อนถามตัวเองว่า เกิดมา 28 ปี รู้สึกเป็นผู้รับอยู่ถ่ายเดียว สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิต มีโอกาสการศึกษา มีเพื่อนรักใคร่ ผู้ใหญ่เมตตา ก็เป็นเพราะบุญของพ่อแม่ที่ท่านสร้างไว้ ตัวเองจึงได้รับในฐานะลูกของพ่อกับแม่ และตัวเองก็ได้อะไรจากสังคมมามากมาย เรียน รร.รัฐบาล เรียนและได้ทุนจาก ม.รัฐ ที่ได้รับเงินอุดหนุนจากเงินภาษีของประชาชน เพราะได้มามากแล้ว จึงควรตอบแทนสังคมบ้าง คิดว่าเกิดมาในชาตินี้ไม่ขอรวยเงิน แต่ขอรวยใจ ถ้าคิดว่าเป็นสิ่งดีแล้ว ก็ต้องขอบคุณคนที่เลี้ยงเรามา แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว แต่เลือดในร่างกายทั้งหมดที่ไหลอยู่ตอนนี้เป็นของเขา ทั้งนี้ ทรัพย์ที่ได้จากการทำสัมมาชีพ หากเหลือจากใช้จ่ายอันจะเกิดประโยชน์พึงสมควรแก่ตน และได้ดูแลแม่ น้อง ญาติสนิท มิตรสหายแล้ว ก็จะให้ทรัพย์ได้ไหลออกจากตัวเองกลับไปสู่สังคมและคนที่ยังต้องการอยู่อีกมาก โดยวิธีที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามหลักคิดของนัก ศศ. (หากเป็นตามหลักนัก กม. จะต้องมีความยุติธรรมเป็นแกน)

28 ปีแล้ว ผ่าน business cycle มายังไม่ครบรอบ ยังช่วย clean up ระบบการเงินหลัง crisis ไม่ได้ ถามว่า มีสักหนึ่งนาทีไหม ที่คิดว่าตัวเองจะทำ 1) 2) 3) เพื่อให้ประเทศชาติดีขึ้น ก็นึกไม่ออก แต่ตอนนี้ คิดได้ว่า ตัวเองมีสิทธิ์ ที่จะทำความดีให้ประเทศชาติ ได้ทุกวัน แค่ตื่นเช้าลืมตาขึ้นมา แล้วมั่นใจว่า หมอที่จะตรวจโรคให้คนป่วย มี chart คนไข้ ที่บอกได้ว่า อาการคนไข้เป็นอย่างไร อาการปกติทั่วไป เริ่มเจ็บคอ เริ่มไอ หรือเริ่มจะไอเป็นเลือด หรือถึงขั้นเชื้อจะแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต (อันนี้ หมอคงรักษายาก ดังนั้น ควร detect ได้ล่วงหน้า จะได้ไม่เจ็บหนักถึงขั้นใช้ยาแพง/แรง)

งานยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเป็นงานใหญ่ แต่ถ้ารู้ว่า งานยิ่งใหญ่คืออะไร เพื่อที่จะได้ใช้สมองที่มีอยู่ (ซึ่งไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่) อย่างเต็มกำลังไปเพื่ออะไร ก็เพียงพอแล้วค่ะ และชอบคำว่า trickle down ของ ผู้บังคับบัญชาท่านนี้มาก ได้ยินคำนี้ครั้งแรก ตอนอยู่ปี 2 เรียนวิชา Economics of Development: พัฒนาการเศรษฐกิจค่ะ เรียกว่า ทฤษฎีรินหลั่ง บอกไว้ว่า คนจนจะกินอิ่ม ต้องให้คนรวยรวยให้พอก่อน

สุดท้ายขอขอบพระคุณผู้บังคับบัญชาท่านที่กล่าวถึง ขอบคุณวรรณสิงห์ และทุกคนที่มิได้กล่าวนาม

Wednesday, October 10, 2007

Dearest Daddy,

I couldn't believe that i resume writing my blog with this letter.It's been almost 8 months i couldn't see you or hear things from you.I want you to know that i miss you so much and it's growing since you left.

When you knocked unconscious at the hospital, i was sitting there beside your bed but i dont even know that you couldnt speak with me a word since then. What i was doing is excel spreadsheet of "External Debt"! It made me feel very sorry and hatred for my stupid mistake.I blame myself for that.

During your 6-day sleep without consciousness,your friends and relatives come to see you, touch you and even cry for you since they just cannot hold their tears. It was at 3.oo a.m. on February,23 when you're gone. Its just about an hour that mom and me left the hospital. Its about 5 hours that we lit the candles for your Birthday cake and sang HBD to you.

No tears no cry for me. Why? The answer is because I am of your blood.It's because of "YOU". I believe that if i wanna see you i just look at a mirror.You're in my breath, my blood, and my soul for always till the world comes to an end. Thing that give me a lift is that you won't hurt anymore.

Mom and I brought you to see Meen at Khon Kaen - our "home". You showed and taught me until the last day. I know it deep in my heart and inside my head.I think that you know how much Mom miss you and how it worsen when she faced with some difficulties just because the fact that you're not here with us. When the long weekend come along, Mom kept saying that if you were here you would keep saying you wanna go "home". For me, it's a special occassion that bring 4 of us together having a good dinner. More importantly, i don't need to pay any for an airfare since you've already pay for me.

Surprisingly, should you know that you have your own day- "Khun Dej's Day" (วันขุนเดช) originated and held by your friends from Thammasat - "Jing Nong Gang". It's the first Wendesday (your birthday!) of every month. I as your descendant have been joined the dinner for many times and 've got to know some secrets of yours!

On 25 Sept, we moved into our new residential place in BKK where we don't need to rent from who you called "the two old she-devil" (2 ปีศาจ เฒ่า 555) anymore.(6-year is more than enought) Mom said you would be very happy to live here with a more larger and more convenient than the old one. I want you to know i miss you much and want you to know i am happy. The most of all thing that i want to achieve is to take care mom and Meen and do all good deeds for them as much as i can and as best i can.

Daddy, as i told you, you dont be afraid that you do not leave any bequest for us. What you left is more precious than that. It is an honor!

With all my love,
Your daughter
Sarawan A.

Wednesday, August 23, 2006

แปรงสีฟันของปาป๊า กับค่า taxi ของลูกสาว

ซื้อแปรงสีฟันอันใหม่ให้ปาป๊า ก่อนหน้านี้ ปาป๊าบ่นว่า กว่าจะรอลูกสาวซื้อแปรงอันใหม่ให้ ที่ใช้อยู่ก็บานเป็นดอกเห็ดแล้ว
คราวนี้ได้โอกาสซื้อของตัวเอง เลยได้อันใหม่ให้ปาป๊าด้วย
ลูกสาว : ปาป๊า แปรงสีฟันใหม่ เห็นยัง
ปาป๊า : ทำไมคราวนี้ ถึงได้อันใหม่เร็วจัง
ลูกสาว : อ๋อ เงินมันเหลือ
ปาป๊า : #@$%&*!^5i+*76@4

ไปทำงานปกติ นั่ง Taxi ไปกลับประมาณ 100 บาท

ปาป๊า : บางคนเงินเดือน หก เจ็ดพันบาท เค้าก็อยู่ได้กัน ค่าเช่าห้อง พันห้า ไปทำงานกลับบ้านก็รถเมล์ ค่ารถวันนึงก็ ยี่สิบสามสิบบาท เค้าไม่เหมือนลูกสาว นั่ง taxi ทุกวัน
ลูกสาว : อ๋อ ถ้าค่ารถวันไหนไม่ถึงร้อย มันรู้สึกคันๆ
ปาป๊า : *&%(#@%^2*)5!$^&#^86*@%05#^&-98#$%!#@%


ต้องลองไม่มีดูบ้าง แล้วจะได้รู้ว่าที่มีอยู่ควรจะใช้อย่างไร

Sunday, May 28, 2006

I just cant help it

"Listen to the rhythm of the falling rain
Telling me just what a fool i've been ... "
Rhythm of the Rain: The Cascades

when it rains==>
one may think about ... an umbrella
one may dream about ... to sleep warmly under a big blanket
one may wish for ... the right guy who bring one alive

but...
when it rains, i can feel a loneliness, honestly.
at least this moment

hard to cope with it but have to get through it
i used to think that i can be on my own
dont need anyone right beside
but .....
rain makes me totally damn weak!
rain drains my heart away of happiness and leave me just a pain

at the end of the day i have to admit that rain is just the accused one
the real cause is me & myself

=============================
i'd better not feel this again and again
but who knows, i just cant help it

Saturday, April 15, 2006

จินตวีร์ – พรวิภา คนธรรมดาที่พร้อมด้วยความดี

(ขออนุญาตพี่ทั้งสองไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากมีความไม่สมบูรณ์ ความบกพร่องหรือความผิดพลาดประการใด ขอให้ให้อภัยด้วย)

เรื่องราวบางส่วนที่ถ่ายทอดออกมาผ่านทางรายการโทรทัศน์ประเภทเรื่องราวชีวิต ทำให้ประจักษ์ได้ว่า “คนบางคน” มีความพิเศษ เกินกว่า “คนบางคน” จะจินตนาการได้ (อย่างน้อยก็ตัวผู้เขียนเอง) จินตวีร์ เป็นตำรวจชั้นธรรมดาถึงชั้นผู้น้อย (ไม่ทราบยศ แต่รู้สึกได้ว่าเป็นอย่างหลัง สุจริตและเงินเดือนน้อย ) มีภรรยา (พรวิภา) ทำงานเป็นเสมียนบริษัทแถวนวนคร (เงินเดือนประมาณ เจ็ดพันกว่าบาท) เช่าแฟลตอยู่แถวใจกลางเมือง (เนื่องจากเห็นว่ามีบีทีเอสผ่าน) แต่งงานมานานแล้ว ( 8-9 ปี) ยังไม่มีบุตร แต่ทั้งคู่อยากมีลูกสาว

การได้ออกไปช่วยเหลือคนเป็นความสุขและความสบายใจของจินตวีร์ ในวันเสาร์- อาทิตย์ที่ว่าง จินตวีร์จะต้องเดินทาง (บขส.) ออกไปตามที่ต่างๆ ใกล้บ้างไกลบ้าง (เช่น ลพบุรี ) เพื่อเอาของกิน ของใช้และเงิน ไปให้คนแก่ไม่มีลูกหลาน คนเป็นอัมพฤติ อัมพาต ช่วยตัวเองได้ก็ลำบากเต็มที มากบ้าง น้อยบ้าง ห้าร้อยบาท พันนึง ก็แล้วแต่ว่ากำลังทรัพย์ตัวเองและที่ผู้ใจบุญคนอื่นร่วมบริจาคมีมากน้อยเพียงใด
.......
จินตวีร์
ถาม “ปีนึงทำงานหาเงินมาได้ให้ภรรยากี่บาท”
ตอบ “สามพันได้มั้งพี่”
ถาม “แล้วเงินไปช่วยคนอื่นทั้งหมดรวมๆแล้ว ปีนึงกี่บาท”
ตอบ “ไม่รู้ครับ ไม่เคยคิดว่าเท่าไหร่ แต่คงมากกว่าสามพัน อาจจะเป็นสามหมื่น หรือเป็นแสนก็ได้มั้งพี่”
ถาม “แล้วยืมเงินภรรยาบ้างไหม”
ตอบ “ก็ยืมบ้าง ถ้าต้องไปช่วยจริงๆ”
......
พรวิภา
ถาม “เวลาสามีมาขอยืมเงิน ให้ยืมมั้ย”
ตอบ “ให้ บางทีก็ให้ยืม บางทีก็ให้เลย”
ถาม “แล้วบริหารยังไง มีแผนอะไรมั้ย”
ตอบ “ก็วางแผนส่วนหนึ่งใช้ ส่วนหนึ่งเก็บ”
ถาม “ไม่รู้สึกอะไรเหรอ ว่าทำไมเค้าต้องเอาเงินไปช่วยคนอื่นที่ไม่รู้จักอยู่ตลอดเวลา”
ตอบ “ตอนแรก ก็ไม่เข้าใจ แต่ที่เค้าทำเป็นสิ่งดี ก็ชินแล้วที่เอาเงินไปทำบุญ”
.......
จินตวีร์
ถาม “ทำไปทำไม”
ตอบ “เรารู้สึก เราอยากช่วยเค้า มันเป็นความสุขที่ได้ช่วย”
..............

... คนเราจะเป็นคนที่สมบูรณ์ได้
ต้องระลึกเสมอถึงคุณธรรม ๓ ข้อ คือ
ความจริง ความงาม และความดี

ความจริง หมายถึง สัจธรรมและหลักวิชา
ความงาม หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์มีวัฒนธรรมและความเพลิดเพลิน เป็นการอดิเรก รวมทั้งการกีฬาประเภทต่างๆ
ความดี นั้นหมายถึง การไม่เบียดเบียน ประทุษร้ายต่อกัน ความสัตย์สุจริตและการบำเพ็ญประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ป๋วย อึ้งภากรณ์

Tuesday, January 24, 2006

I have lost my time and......... my gratitude.

It’s been almost three months
My daily life is about office and ward in the hospital on weekday
And about ward and Thammasat on weekend

I’m a bit moody and easy to get mad when I have to do anything that I do not want to do at that moment. Moreover, I usually lose my temper with the circumstance that I compulsorily have to leave things that I want to take.
Last Friday, I planed to go jogging and then pack my stuff going to see my father at the hospital. The estimated time that I can get him is around 8.00 p.m.
5.15 - 5.45 è from office to home and packing all stuffs for weekend
5.45 – 6.10 è from home to Thammasat
6.10 – 7.00 è 40-minute jogging at Thammasat
7.20 - …. è from Thammasat to Siriraj by ship
So, I’ll get there in time i.e. 8.00.

I talked to him about my plan. He told me to finish my activities as soon as I can, should not be so late till 8.00 p.m. I thought that the time that I proposed is reasonable in term of time in traveling from place to place. I am not the invisible man who can go anywhere I want by just snap the fingers.

I got mad suddenly when I heard my father said. Though I strongly desire to jog in that evening I didn’t jog. As a consequence, “moodiness is all around”.
I gave him a silent treatment!
I am such an idiot and ingratitude!

สำนึกผิด
เมื่อสำนึกฝ่ายมารที่ครอบงำจิตใจได้เริ่มอ่อนกำลังลงไป สำนึกผิดก็เริ่มก่อตัวขึ้น
พ่อแม่ มีหน้าที่ต่อลูกที่ต้องเลี้ยงดู ให้ความรัก ความอบอุ่น คำสั่งสอน เหนื่อยขนาดไหน กว่าจะเลี้ยงมันจนโตขนาดนี้ เลี้ยงอย่างมีคุณภาพ แล้วลูกมีหน้าที่ทำอย่างนี้กับพ่อแม่ได้หรือ โดยเฉพาะในยามที่เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างในตอนนี้
เราเบื่อ คนป่วยเบื่อกว่า
เราอดทน คนป่วยอดทนกว่า
เหมือนมีอะไรมาโปรด
เพื่อนพ่อมาเยี่ยม บอกกับเราว่า “ดูแลพ่อดีๆนะ เค้าเป็นคนขี้เกรงใจ มีลูกดูแลใกล้ๆ เค้าจะได้สบายใจ”
เล่าให้เพื่อนเราฟัง เพื่อนเราบอกว่า “เวลาจะหงุดหงิด โกรธ โมโห จะคิดถึงตอนเราเป็นเด็ก เด็กที่คอยถามพ่อแม่ว่า นั่นอะไร ทำไม ทำไม และทำไม”
“เป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้แสดงความกตัญญู ตอบแทนพ่อแม่ ตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอจะทำวันหน้าซึ่งอาจไม่ได้ทำแล้ว”
อาโกวอีกท่านสอนว่า “เราทำดีกับพ่อแม่ เราจะดี”

เราจะทำดีกับพ่อแม่

Tuesday, December 13, 2005

ขอบคุณ กำลังใจให้คุณพ่อ

ความเจ็บป่วย เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา ทุกคนไม่อยากเจ็บไม่อยากป่วย แต่ถ้าเจ็บแล้ว ก็ต้องรักษา เพื่อให้ความเจ็บป่วยนั้นบรรเทาลง ขอบคุณเพื่อนทุกคนที่เป็นห่วงเป็นใย คอยถามข่าวคราวเสมอ กำลังใจสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ก้าวพ้นความเจ็บป่วยได้ ขอบคุณมากค่ะ